The Matrix กลายเป็นหนึ่งในหนังที่โด่งดังที่สุดของนักแสดงอย่าง Keanu Reeves ที่ภาคแรกเข้าฉายปี 1999 ภาค 2 และ 3 เข้าฉายปีเดียวกัน 2003 รวมทั้งกำลังจะกลับมากับภาค 4 ในปี 2022 และยังเป็นหนังที่ทำให้ Reeves อยู่สบายไปทั้งชาติกับรายได้ค่าตัวที่ถือเป็นคนแรก ๆ ของวงการที่ตกลงรับค่าตัวแบบ “ส่วนแบ่งหลังเข้าฉายและได้กำไร” นอกจากค่าตัวก้อนแรกที่จะคิดน้อยกว่าปกติ หมายความว่านักแสดงก็จะเดิมพันไปกับหนัง ถ้าสำเร็จก็ได้เงินค่าตัวเยอะไปด้วยกัน แต่ถ้าไม่ก็จะไม่ได้รับค่าตัวส่วนกำไรหลังหนังฉายเลย
ในภาคแรก Reeves ได้รับค่าตัวก้อนแรก 10 ล้านเหรียญฯ และได้รับส่วนแบ่งกำไรหลังฉายไป 25 ล้านเหรียญฯ แต่เนื่องจากภาคแรกหนังไม่ได้ทำรายได้ถล่มทลายนักเทียบกับ 2 ภาคหลังที่ Reeves ตกลงรับค่าตัวกับแค่รายได้จากกำไรหลังฉาย 25% นั่นทำให้เขาทำรายได้จากหนัง 2 ภาคไปสูงถึง 250 ล้านเหรียญฯ ซึ่งเทียบกับค่าตัวเฉลี่ยตกเรื่องละ 75 ล้านเหรียญฯ (Reeves ยังคงคิดค่าตัวแบบ 2 ก้อนเรื่อยมา)
นี่จึงน่าจะถือเป็นโอกาสอันน่าเสียดายของนักแสดงหลายคนที่เคยปฏิเสธบท Neo จนตกมาถึงมือ Reeves (หากไม่นับว่าชื่อเสียงของ Reeves นั้นส่งผลโดยตรงต่อความดังของ The Matrix และคิดว่า หนังน่าจะดังได้ด้วยเนื้อหาสุดล้ำอยู่แล้ว) หลายคนอาจจะเคยรู้อยู่แล้วว่า Will Smith นั้นเคยเป็นตัวเลือกของทีมผู้สร้างที่อยากได้ดาราระดับแถวหน้ามารับบทนี้ ซึ่ง Smith ที่กำลังดังระเบิดจาก Men in Black (1997) นั้นเลือกปฏิเสธบท Neo ด้วยเหตุผลไม่เชื่อในคอมพิวเตอร์กราฟิก และไม่เชื่อว่าหนังจะทำออกมาได้อย่างที่ผู้กำกับจินตนาการไว้ และกลับไปร่วมงานกับผู้กำกับ Barry Sonnenfeld จาก MIB ใน Wild Wild West (1999) ซึ่งก็กลายเป็นหนังเจ๊งมากที่สุดเรื่องหนึ่งในประวัติศาสตร์